“นอนท่าไหนดีสุด?”: ไขคำตอบจากแพทย์ ท่านอนที่ดีต่อร่างกายมากที่สุดคือ…

การนอนหลับไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่เป็นเวลาทองของร่างกายในการซ่อมแซมและฟื้นฟูระบบต่างๆ

ทว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้ามคือ “ท่านอน” ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลทั้งต่อคุณภาพการนอนและสุขภาพในระยะยาว

คำถามคือ… นอนท่าไหนดีที่สุด? คำตอบไม่ได้ตายตัว 100% แต่มี “ท่านอนที่เหมาะสมที่สุด” โดยรวมในทางการแพทย์ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยระดับสากล

why-sleep-on-your-back

ท่านอนแต่ละแบบมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร?

นอนหงาย

ข้อดี:
– ช่วยให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวตรง ลดการบิดตัวของคอและหลัง
– ไม่มีแรงกดต่ออวัยวะภายในมากเกินไป
– ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องไหล่หรือข้อสะโพก

ข้อเสีย:
– เสี่ยงต่อการกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
– อาจทำให้ลิ้นตกไปอุดทางเดินหายใจ

แนะนำ: เหมาะกับคนที่ไม่มีปัญหาทางเดินหายใจ และควรใช้หมอนรองใต้เข่าเพื่อรองรับหลังส่วนล่าง

gettyimages-1139097040-6f321c

นอนตะแคง (ซ้าย/ขวา)

ตะแคงซ้าย

ข้อดี:
– ช่วยลดกรดไหลย้อน
– ส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร
– ช่วยระบบน้ำเหลืองระบายของเสียได้ดี

ตะแคงขวา

ข้อดี:
– ลดแรงกดทับหัวใจ
– ดีต่อผู้ที่มีภาวะหัวใจหรือความดันโลหิตสูง
– ลดแรงต้านของกระเพาะอาหารและตับ

ข้อเสีย (ทั้งสองด้าน):
– เสี่ยงต่อการเกิด “ริ้วรอย” และแรงกดทับบริเวณใบหน้า
– ถ้าไม่เปลี่ยนข้าง อาจปวดไหล่/สะโพกข้างใดข้างหนึ่ง

แนะนำ: ใช้หมอนกอดและหมอนรองระหว่างขาเพื่อลดแรงกดทับสะโพก/เข่า

gettyimages-1418471061-1aac7a

นอนคว่ำ

ข้อดี:
– ลดการกรนในบางราย
– เปิดทางเดินหายใจบางตำแหน่ง

ข้อเสีย:
– เพิ่มแรงกดที่คอ หลัง และกระดูกสันหลัง
– เสี่ยงต่ออาการปวดคอ ปวดหลัง
– อาจกดอวัยวะภายใน เช่น ปอด หัวใจ

แนะนำ: หลีกเลี่ยง โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหากระดูกหรือระบบทางเดินหายใจ

reflux_sleep-with-captions

บทสรุป: ท่านอนที่ “ดีที่สุด” คือ?

จากงานวิจัยทางการแพทย์และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น National Sleep Foundation, Cleveland Clinic, และ Mayo Clinic สรุปได้ว่า:

“นอนตะแคงซ้าย” ถือเป็นท่านอนที่ส่งผลดีที่สุดต่อสุขภาพโดยรวม โดยเฉพาะในด้านการย่อยอาหาร ระบบน้ำเหลือง การลดกรดไหลย้อน และการไหลเวียนของเลือด

แต่! ควรสลับข้างเป็นระยะ และเสริมด้วยอุปกรณ์ช่วยนอน เช่น หมอนหนุนคอ หมอนรองเข่า เพื่อเพิ่มสมดุลให้กับร่างกาย

เคล็ดลับนอนให้สุขภาพดี

– ใช้หมอนที่รองรับตามแนวกระดูกคอ

– เลือกที่นอนที่ไม่นุ่มหรือแข็งเกินไป

– ปรับอุณหภูมิห้องให้อยู่ที่ประมาณ 24-26 องศาเซลเซียส

– เข้านอนให้เป็นเวลา และงดจดจ่อโทรศัพท์มือถือก่อนนอนอย่างน้อย 30 นาที