แฟนเก่าสะกดรอย คุกคามเป็นปี สาวแจ้งความ 9 ครั้ง สุดท้ายกลายเป็นศพเหลือแต่โครงกระดูก

สาววัย 20 ปี หายตัว 4 เดือน พบศพในบ้านแฟนเก่าสภาพโครงกระดูก ก่อนตายถูกสะกดรอยคุกคาม เคยแจ้งตำรวจ 9 ครั้ง แต่ไม่ช่วยอะไร

หญิงสาวชาวญี่ปุ่นวัย 20 ปีชื่อ อายะซากิ โอกาซากิ จากจังหวัดคานางาวะ ต้องเผชิญกับการถูกอดีตแฟนหนุ่มสะกดรอยตามและคุกคามตลอดเวลากว่า 1 ปี แม้ว่าเธอจะเข้าแจ้งความถึง 9 ครั้ง แต่กลับไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างจริงจังจากตำรวจ กระทั่งวันที่ 20 ธันวาคมปีที่แล้ว อายะซากิได้หายตัวไป และตำรวจเพิ่งเริ่มการค้นหาเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา จนพบ โครงกระดูกมนุษย์ในกระเป๋า ที่บ้านของอดีตแฟนหนุ่มวัย 27 ปีชื่อ ฮิเดะมาสะ ชิไร ซึ่งได้หนีไปสหรัฐฯ แต่สุดท้ายเดินทางกลับญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม และถูกจับกุมที่สนามบินฮาเนดะ โดยเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นคนลงมือฆ่า

รายละเอียดของคดี

ตามรายงานจากสื่อญี่ปุ่น ระบุว่า ฮิเดะมาสะ ชิไร ซ่อนศพของโอกาซากิไว้ในบ้านของตนเป็นเวลาหลายเดือน หลังจากที่โอกาซากิหายตัวไปในเช้าวันที่ 20 ธันวาคม โดยเธอได้ออกจากบ้านคุณยายที่อาศัยอยู่ชั่วคราว แล้วก็ขาดการติดต่อไปตั้งแต่นั้น

แม้โอกาซากิจะเคยแจ้งความว่าโดนสะกดรอยหลายครั้ง แต่ตำรวจกลับไม่ดำเนินการเตือนชิไรตาม กฎหมายป้องกันการสะกดรอยตาม โดยอ้างว่า “เป็นการตัดสินใจตามความประสงค์ของผู้เสียหาย” ซึ่งเชื่อว่าไม่ต้องการให้ตำรวจเข้ามาแทรกแซง

ต่อมาในวันที่ 30 เมษายน ตำรวจได้เข้าค้นบ้านของชิไรในเมืองคาวาซากิ และพบถุงใส่ศพของโอกาซากิที่แปรสภาพเป็นโครงกระดูก ซุกซ่อนอยู่ใต้พื้นห้องครัวในตู้เก็บของ โดยผลการชันสูตรพบว่าศพมีร่องรอยถูกเผา แม้ในบ้านจะไม่มีร่องรอยการเผาศพก็ตาม ทำให้ตำรวจสงสัยว่า ศพอาจเคยถูกเผาที่อื่นก่อนจะย้ายกลับมาซ่อนไว้ในบ้าน

หลังเกิดเหตุ ชิไรเดินทางไปสหรัฐฯ แต่เมื่อเดินทางกลับถึงญี่ปุ่นในช่วงบ่ายวันที่ 3 พฤษภาคม เขาถูกตำรวจควบคุมตัวทันที และสารภาพว่า “ใช่ ผมเป็นคนทำ” จากนั้นในเวลา 21.10 น. ตำรวจได้จับกุมตัวเขาในข้อหาลอบซ่อนศพ

เสียงจากครอบครัวเหยื่อ

พ่อของโอกาซากิให้สัมภาษณ์อย่างเจ็บปวดว่า

“ผมบอกตำรวจไปหลายครั้งแล้วว่าให้จับเขาในข้อหาสะกดรอยตาม แต่เขากลับบอกว่าทำอะไรไม่ได้เพราะลูกสาวไม่ได้ออกมาด้วยตัวเอง สุดท้ายก็เพราะสะกดรอยนี่แหละที่ทำให้เธอตาย พูดกับทำไม่เคยตรงกันเลย มันไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ”

ขณะนี้ตำรวจยังคงสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุการตายอย่างละเอียด รวมถึงแรงจูงใจของผู้ก่อเหตุ และตรวจสอบว่าอาจมีความผิดอื่นเพิ่มเติมหรือไม่