อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ก็คือ หากออกจากประกันสังคม มาตรา 33 แล้วไปส่งเงินสมทบต่อในประกันสังคม มาตรา 39 จะทำให้บํานาญประกันสังคม ม.39 ที่จะได้รับยามเกษียณอาจหายไปเกินครึ่ง เกิดความไม่เป็นธรรมกับผู้ประกันตน ม.39 ที่เคยส่งเงินสมทบตาม ม.33 มาตลอดหลายปี ดังนั้น สำนักงานประกันสังคมจึงปรับสูตรบำนาญใหม่ในแบบ CARE (Career-Average Revalued Earnings) หรือเฉลี่ยตลอดชีวิตการทำงาน เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว แต่ใครจะได้รับประโยชน์จากส่วนนี้บ้าง มาศึกษารายละเอียดกัน
อย่างไรก็ตาม สูตรนี้ทำให้เกิดช่องว่างความแตกต่างระหว่างผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 อย่างเห็นได้ชัด เพราะในการคำนวณค่าจ้างเฉลี่ยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะคิดที่ฐานเงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท แต่หากเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 จะคิดที่ฐานเงินเดือน 4,800 บาท
ประกันสังคม มาตรา 39 จะได้เงินบำนาญลดลงอย่างมาก จึงเกิดการผลักดันเงินบำนาญชราภาพสูตรใหม่ที่เรียกว่า CARE ขึ้นมา โดยคิดคำนวณเงินชราภาพ ดังนี้
1. ไม่ได้คำนวณจากค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายเหมือนเดิม แต่คำนวณจากฐานเงินเดือนเฉลี่ยที่ส่งจริงตลอดอายุการทำงาน แปลว่า ยิ่งส่งมาก ยิ่งได้มาก
2. นำเงินสมทบทั้งหมดตั้งแต่เริ่มทำงานจนถึงเกษียณมาคำนวณ ทั้งช่วงที่อยู่ในประกันสังคม มาตรา 33 และมาตรา 39
บํานาญประกันสังคม คิดยังไง
อย่างที่กล่าวไว้ว่า วิธีคิดบำนาญประกันสังคมสูตรใหม่ไม่ได้คิดแค่ค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายแล้ว แต่นำฐานเงินเดือนเฉลี่ยตลอดระยะเวลาที่ส่งเงินสมทบมาคำนวณตัวอย่าง : ส่งเงินสมทบประกันสังคม มาตรา 33 มาแล้ว 15 ปี จากนั้นลาออกและส่งเงินสมทบมาตรา 39 ต่ออีก 5 ปี รวมแล้วส่งเงินสมทบ 20 ปี
วิธีคิดบำนาญ คือ นำฐานเงินเดือนมาตรา 33 (15,000 บาท) มาคูณจำนวนปีที่ส่งเงินสมทบมาตรา 33 (15 ปี) แล้วบวกกับฐานเงินเดือนมาตรา 39 (4,800 บาท) คูณกับจำนวนปีที่ส่งเงินสมทบมาตรา 39 (5 ปี) จากนั้นหารด้วยจำนวนปีที่ส่งเงินสมทบทั้งหมด (20 ปี)
เท่ากับ (15,000*15) + (4,800*5) / 20 = 12,450 บาท
โดยเราจะได้เงินบำนาญร้อยละ 20% ของฐานเงินเดือนเฉลี่ย (12,450) และบวกเพิ่มอีก 1.5% ในทุกปีที่ส่งเงินสมทบเกิน 15 ปี ดังนั้น เมื่อเราส่งเงินสมทบ 20 ปี จึงได้รับบำนาญในอัตรา [20+(1.5*5)] =27.5% จากเงิน 12,450 บาท เท่ากับได้รับบำนาญเดือนละ 3,423.75 บาท
แต่หากใช้การคำนวณแบบสูตรเดิม จะได้รับบำนาญเพียงเดือนละ 1,320 บาทเท่านั้น