ชายวัย 69 ปี ดื่มน้ำมะพร้าวไปอึกเดี๋ยว จู่ๆ ต้องส่ง ICU สุดท้ายสมองตาย เสียชีวิตใน 26 ชั่วโมง เห็นผลชันสูตรยิ่งน่าตกใจ
เหตุการณ์อุทาหรณ์สลดเกิดขึ้นเมื่อชายชาวเดนมาร์กวัย 69 ปี เสียชีวิตหลังจากดื่มน้ำมะพร้าวเพียงอึกเดียว เนื่องจากไม่ทราบว่าน้ำมะพร้าวที่ดื่มนั้นไม่สามารถกินได้ ซึ่งส่งผลให้สมองได้รับความเสียหายรุนแรงและถึงแก่ชีวิตภายใน 26 ชั่วโมงหลังจากถูกพาตัวส่งโรงพยาบาล
รายงานทางการแพทย์ระบุว่า ชายรายนี้ (ไม่เปิดเผยชื่อ) อาศัยอยู่ในเมืองออร์ฮูสทางตะวันออกของเดนมาร์ก เขาดื่มน้ำมะพร้าวจากลูกที่ผ่านการปลอกเปลือกด้านนอกแล้ว แต่เมื่อดื่มเข้าไปเพียงแค่คำเดียว เขาก็รู้สึกว่ารสชาติผิดปกติ จากนั้นเมื่อเขาผ่าลูกมะพร้าวออกมาดู ก็พบว่าเนื้อในมะพร้าวมีลักษณะเป็นยางเหนียวๆ สีเขียวและขาวขุ่น ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามะพร้าวเน่าแล้ว
เขานำมะพร้าวที่เน่าเสียไปทิ้งในถังขยะและไม่ได้คิดอะไรมากนัก จนกระทั่งผ่านไปประมาณ 3 ชั่วโมง เขาเริ่มมีอาการไข้ เหงื่อออก และอาเจียน เมื่อเจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉินมาถึงพบว่าเขามีอาการมึนงง หน้าซีด และไม่สามารถทรงตัวได้
ชายรายนี้ถูกนำส่งโรงพยาบาลทันที ผลการตรวจ MRI แสดงให้เห็นว่ามีอาการบวมในสมองอย่างรุนแรง แต่ในขณะนั้นแพทย์ยังไม่สามารถทราบสาเหตุของอาการได้ แพทย์วินิจฉัยว่าเขามีภาวะผิดปกติของสมองทางเมตะบอลิก (Metabolic encephalopathy) ซึ่งเกิดจากความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง
แม้แพทย์จะพยายามช่วยชีวิตชายรายนี้ในห้องไอซียู แต่ผ่านไป 26 ชั่วโมง เขาก็เสียชีวิตเนื่องจากสมองตาย ผลการชันสูตรพลิกศพพบว่าในหลอดลมของเขามีเชื้อรา และการวิเคราะห์มะพร้าวพบว่าในน้ำมะพร้าวนั้นมีเชื้อราชนิด Arthrinium Saccharicola ซึ่งเป็นเชื้อราที่พบในน้ำมะพร้าวเน่า เชื้อราดังกล่าวผลิตสารพิษชื่อ 3-nitropropionic acid ที่ทำให้สมองได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
จากการตรวจสอบพบว่า มะพร้าวที่ชายรายนี้ดื่มมาจากลูกมะพร้าวที่เขาซื้อมาแล้วเก็บไว้ในห้องครัวเป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยไม่ได้แช่ในตู้เย็น จึงทำให้มะพร้าวเน่าเสีย และน่าเศร้าที่เขาไม่รู้ถึงอันตรายที่แฝงอยู่ในน้ำมะพร้าวที่ดื่มเข้าไป
ดร. ซามูเอล ชูธูรี แพทย์ชื่อดังจากสิงคโปร์ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 326,000 ฟอลโลเวอร์ในอินสตาแกรม ได้แชร์เคสนี้เตือนให้ผู้คนตระหนักถึงความเสี่ยง พร้อมแนะนำว่า “มะพร้าวที่ปอกเปลือกแล้วควรเก็บไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 4°C – 5°C เสมอ ส่วนมะพร้าวทั้งลูกที่ยังไม่ปอกเปลือกสามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องได้”