หลวงพี่น้ำฝน ถือเอกสารเจ้าอาวาสวัดสามชุก ต้นสังกัดพระปีนเสาไฟ แจ้งที่ช่อง 3 ให้กลับวัดภายใน 7 วัน ชี้ตั้งสำนักสงฆ์ผิดระเบียบ เอาศาสนามาเสี้ยมให้เข้าใจผิดโทษถึงขั้นจับสึก
จากกรณีเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.นครปฐม เจ้าหน้าที่ปกครอง อ.นครชัยศรี พร้อมพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ในฐานะประธานคณะทำงานดำเนินการแก้ไขข้อขัดข้องระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 และสังฆาธิการพระครูสิริปุญญาภิวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดสำโรง เจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี เจ้าคณะตำบลสำโรง ตรวจสอบสำนักปฏิบัติธรรมพุทธชยันตรี สวนธรรมแสงเทียน หมู่ที่ 3 ตำบลห้วยพลู อำเภอนครชันยศรี จังหวัดนครปฐม ตามเอกสารที่ พระครูปลัดสุทัศน์ สุเมโธ รักษาการเจ้าอาวาสวัดโพนทะเล จังหวัดพิจิตร เรื่องขอให้พระธีรธนัชณฤทธา เสาวภาคย์โชติรส หรือพระปีนเสาไฟ กลับวัดโพนทะเล ภายใน 7 วัน เมื่อวานนี้
จากการตรวจสอบ พระธีรธนัชณฤทธา ได้โต้แย้งว่าเอกสารดังกล่าวไม่ถูกต้อง เนื่องจากได้ถูกให้ออกจากวัดโพนทะเล จังหวัดพิจิตรไปนานแล้ว และมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่ที่ได้เข้าไปตรวจสอบและแจ้งว่าหนังสือเป็นเท็จ และแจ้งว่าปัจจุบันได้มีต้นสังกัดที่วัดสามชุด อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเอกสารไม่ตรงกัน
ต่อมาในช่วงกลางดึกที่ผ่านมา หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้รับเอกสารด่วน พิเศษ/2567 ที่วัดสามชุก ตำบลสามชุก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี เรื่องขอให้ พระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา เสาวภาคย์โชติรส กลับวันสามชุก โดยมีเนื้อหาว่า มีการขอมาสังกัดที่วัดสามชุกตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย.65 ที่ผ่านมา แต่ไม่เคยมาสังกัดอยู่ที่วัดสามชุกเลย และทราบว่าได้ไปพำนักอยู่ที่สถานปฏิบัติธรรมพุทธะชยันตรี ต.ห้วยพลู อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม และมีการปรากฎตามสื่อออนไลน์ต่างๆ ทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์ และพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง จึงขอให้กลับวัดภายใน 7 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือเป็นต้นไป
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวว่า พระรูปนี้สังกัดที่วัดสามชุก สุพรรณบุรี ซึ่งเจ้าอาวาสได้ทำหนังสือคำสั่งในเขตภาค 14 ซึ่งพระรูปนี้ ย้ายสังกัดจากจังหวัดพิจิตร มาสังกัดอยู่ที่วัดสามชุก จ.สุพรรณบุรี ซึ่งย้ายมาตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย.65 จนถึงปัจจุบัน ไม่เคยอยู่ในการปกครองของเจ้าอาวาส กรอบการปกครองซึ่งตามระเบียบ พระรู้ว่าจะต้องอยู่ในกรอบดูแลของเจ้าอาวาสวัดนั้น ซึ่งพระรูปนี้มีการจัดตั้งสำนักสงฆ์ แต่ไม่ได้ปรากฏเอกสารขออนุญาตต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด
“วันนี้อาตมาจึงนำเอกสารคำสั่งของเจ้าอาวาส ที่ให้พระรูปนี้กลับไปชี้แจง ซึ่งจะต้องขึ้นทะเบียน สำนักพระพุทธศาสนา จังหวัดนครปฐม ได้รวบรวมข้อมูลหลักฐาน เพื่อรายงานต่อเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรีต่อไป โดยให้ระยะเวลาภายใน 7 วัน ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2562 ประชาชนได้ร้องเรียน พระรูปนี้มายังอาตมาตลอด เช่น การนำบุคคลต่างด้าวไปอยู่”
ส่วนในเรื่องของการนำศาสนาอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั้น อาตมามองว่า เป็นการไม่สมควรที่จะไปยุ่งกับศาสนาอื่น เราเป็นพระภิกษุสงฆ์ ศาสนาใดก็แล้วแต่ เราควรจะรักและสามัคคีกันไว้ ไม่ใช่ว่าศาสนานี้มาใส่ร้ายศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธไปใส่ร้ายศาสนาอื่น เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้ใช้ศีลสมาธิ และปัญญาในการดำเนินชีวิต สืบทอดพระพุทธศาสนา ฉะนั้นอย่าโยงเอาศาสนามาทำให้เกิดปัญหา ซึ่งคณะสงฆ์จะไม่ทำเช่นนั้นเด็ดขาด ถ้ามีเหตุการณ์เช่นนี้เราก็ต้องคอยดูแล และทำตามขั้นตอนตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ซึ่งโทษมีถึงขั้นถูกจับสึกได้