เมื่อวันที่ 25 ก.ย.2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แถลงถึงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจว่า เป็นโครงการที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมานาน จึงจำเป็นว่า นอกจากจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตแข่งขันกับโลกได้ ยังต้องเร่งเยียวยาและดูแลประชาชน
การเยียวยาและดูแล โดยแยกตามกลุ่ม เพื่อดูว่าจะดูแลอย่างไร หลักๆคือการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่าย ซึ่งตรงนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่เราเติมเงินสดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ อย่างที่ประชาชนรอคอยมานาน ซึ่งเม็ดเงินจำนวน 145,000 ล้านบาทใหญ่มากพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวถึงการโอนเงินในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการว่า จำนวนเงินที่ได้โอนไปแล้วมีจำนวน 3,167,565 ราย โดยเริ่มโอนตั้งแต่เที่ยงคืน และสำเร็จเมื่อเวลา 07.00 น. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปโดยราบรื่น
ส่วนการตรวจสอบสิทธินั้นเป็นไปตามที่เคยแจ้งแล้ว เช่นแอปพลิเคชัน“รัฐจ่าย” ซึ่งกระบวนการตรวจสอบไม่ได้มีปัญหา และหากประชาชนไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้ก็หมายความว่าจะได้รับสิทธิ์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบถัดไป
ขอเรียนว่า ในส่วนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งต้องผูกพร้อมเพย์นั้น ยังมีการตกหล่น จึงขอให้ไปดำเนินการผ่านธนาคารหรือตู้เอทีเอ็ม ส่วนในกลุ่มผู้พิการยังมีอีก 90,000 กว่าราย ซึ่งยังมีสถานะต้องแก้ไขไม่ว่าจะเป็นบัตรหมดอายุหรือยังไม่ได้เชื่อมช่องทางในการจ่าย ก็ต้องไปประสานทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
โดยจะโอนซ้ำอีก 3 ครั้งในวันทที่ 22 ต.ค. พ.ย. และ ธ.ค. หากไม่สามารถดำเนินการได้ครบถ้วนก่อนวันที่ 22 ธ.ค.ก็จะไม่ได้รับสิทธิ์ ส่วนคนพิการที่ไม่สามารถมาดำเนินการด้วยตนเองได้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีเจ้าหน้าที่ประจำพื้นที่อยู่แล้ว เพื่อดูว่ามีคนตกหล่นหรือไม่แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นยืนยันว่าไม่มีคนตกหล่น
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า วันนี้สิ่งที่เราได้เห็นคือความคึกคักที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ และในบางเคสนั้น หากไปดูในบัญชีที่เราโอนไป 10,000 บาทแล้วนั้นมีเงินอยู่ 10,010 บาท เขาแทบจะไม่มีเงินเก็บใดๆเลย กลุ่มนี้เปราะบางจริงๆ ฉะนั้น เป็นไปได้สูงมาก ว่าเงิน 10,000 บาทนี้จะถูกใช้หมดในการซื้อปัจจัย 4 ต่างๆ รวมถึงเครื่องมือสำหรับคนพิการ และที่เราเห็นก็มีการรวมเงินทั้งครอบครัว เอาไปเริ่มลงทุนนำไปซื้อสินค้า เป็นสัญญาณที่ดี และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ
เมื่อถามว่าหากประชาชนนำเงินที่ได้ไปใช้หนี้ ก็จะไม่ตอบโจทย์เรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้กระทรวงมหาดไทย เป็นแม่งาน ร่วมกับกระทรวงการคลัง ซึ่งเราได้เริ่มตั้งแต่สมัยของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี และยังไม่ได้หยุด ความคืบหน้าก็ยังเข้มข้น และรัฐยังมุ่งปราบปรามเจ้าหนี้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กำหนด
ส่วนการโอนเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจวันนี้นั้น ย้ำว่าส่วนใหญ่นำไปใช้จ่าย ซึ่งเป็นปัจจัยแรกที่ประชาชนจะใช้ เพราะคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเปราะบางจริงๆ แม้กระทั่งเงินในการดำรงชีพแต่ละวันยังไม่พอ จึงต้องนำเงินไปใช้ สำหรับการดำรงชีวิตปัจจัย 4 เป็นเรื่องแรก และเชื่อว่าวันนี้เราจะเห็นได้เลยว่าตลาดสด ตลาดค้าส่ง ค้าปลีกจะคึกคักมาก
ถือว่ากระตุ้นเศรษฐกิจได้สำเร็จ และเป็นการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นกลุ่มแรก ได้สร้างชีวิตช่วยเหลือครอบครัว และหากมีข่าวสารเรื่องหนี้นอกระบบเข้ามามาทวง ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด ซึ่งตนมีโอกาสได้คุยกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ซึ่งจะนำเรียนและช่วยให้กระชับพื้นที่ด้วย
- Beta
Beta feature