
เรื่องการ “ช่วยตัวเอง” มักถูกเชื่อมโยงกับความกังวลด้านสุขภาพของผู้ชายมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่าหากทำบ่อยเกินไปอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่ในมุมมองทางการแพทย์แล้ว เรื่องนี้อาจไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เขาเล่าลือกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างการ “ช่วยตัวเอง” กับฮอร์โมนเพศชาย
ผู้ชายหลายคนกังวลว่าการช่วยตัวเองบ่อยๆ จะทำให้ระดับ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ลดลง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้มีความสำคัญต่อแรงขับทางเพศ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และความเป็นชาย แต่จากการเปิดเผยของ นพ. ไบรอัน แมคนีล (Dr. Brian McNeil) หัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะ จากมหาวิทยาลัยการแพทย์ SUNY Downstate สหรัฐอเมริกา ระบุว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันแน่ชัดว่าความถี่ในการช่วยตัวเองหรือการหลั่งน้ำอสุจิ จะส่งผลให้ฮอร์โมนเพศชายลดลงอย่างถาวร
คุณหมออธิบายเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่มีอารมณ์ทางเพศ ระดับเทสโทสเตอโรนอาจพุ่งสูงขึ้นเล็กน้อยในระยะสั้นๆ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และไม่ส่งผลกระทบในระยะยาวต่อสุขภาพทางเพศแต่อย่างใด
โดยปกติแล้ว ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะไม่ได้คงที่ตลอดเวลา แต่จะเปลี่ยนแปลงตามนาฬิกาชีวิต (Circadian Rhythm) ซึ่งมักจะสูงที่สุดในช่วงเช้าและลดหลั่นกันไปในระหว่างวัน ดังนั้นการจะสรุปว่าพฤติกรรมการช่วยตัวเองเพียงอย่างเดียวมีผลต่อฮอร์โมนจึงเป็นเรื่องที่สรุปได้ยาก
ไม่ใช่ต้นเหตุของอาการ “นกเขาไม่ขัน”
สิ่งที่ผู้ชายควรทราบคือ การมีระดับเทสโทสเตอโรนต่ำต่างหากที่ส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศ เมื่อฮอร์โมนตัวนี้ลดลง ผู้ชายอาจเจอปัญหาความต้องการทางเพศลดลง อ่อนเพลียเรื้อรัง หรืออวัยวะเพศแข็งตัวยาก ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนเรื่องสุขภาพหรือระบบต่อมไร้ท่อ ไม่ได้เกิดจากการช่วยตัวเองมากหรือน้อยเกินไป
ความเชื่อที่ว่าการช่วยตัวเองทำให้เป็นหมัน หรือทำให้อวัยวะเพศไม่แข็งตัว ถือเป็น ความเชื่อที่ผิด ในทางตรงกันข้าม กิจกรรมทางเพศรวมถึงการช่วยตัวเอง หากทำอย่างเหมาะสมยังมีประโยชน์ช่วยลดความเครียด ผ่อนคลายอารมณ์ และช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นอีกด้วย
ทางสายกลางดีที่สุด
แม้แพทย์จะยืนยันว่าการช่วยตัวเองไม่ได้ทำลายสุขภาพ แต่กุญแจสำคัญคือ “ความพอดี” ควรทำในระดับที่ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายจนอ่อนเพลีย หรือหมกมุ่นจนเสียงานเสียการและกระทบความสัมพันธ์ในชีวิตจริง
หากคุณรู้สึกว่าความต้องการทางเพศลดฮวบ อ่อนเพลียผิดปกติ หรืออารมณ์แปรปรวน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจระดับฮอร์โมนและหาสาเหตุที่แท้จริง มากกว่าการโทษพฤติกรรมส่วนตัวของตัวเอง
